วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แนะนำของดีประจำจังหวัดมหาสารคาม






พระธาตุนาดูน

พุทธมณฑลแห่งอีสาน ตั้งอยู่ที่บ้านนาดูน เขตอำเภอนาดูน เป็นเขตที่มีการขุดพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดีที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในอดีต เพราะบริเวณนี้ได้เคยเป็นที่ตั้งขอนครจำปาศรีมาก่อน โบราณวัตถุต่างๆ ที่ค้นพบได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจังหวัดขอนแก่นและที่สำคัญ ยิ่งก็คือการขุดพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบรรจุในตลับทองคำ เงิน และสำริด ซึ่งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในพุทธศตวรรษที่ 13-15 สมัยทวาราวดี รัฐบาลจึงอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้าง พระธาตุนาดูน ขึ้นใน เนื้อที่ 902 ไร่ โดยบริเวณรอบๆ จะมีพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม สวนรุกขชาติ สวนสมุนไพร ซึ่งตกแต่งให้เป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา การเดินทางจากตัวเมืองมหาสารคาม โดยใช้เส้นทางหมายเลข 2040 ผ่านอำเภอแกดำ อำเภอวาปีปทุม แล้วเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2045 ถึงอำเภอนาดูน ทางลาดยางตลอด ห่างจากตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร

ความเป็นมาของพระธาตุนาดูน
     อำเภอนาดูน เป็นแหล่งอารยธรรมโบราณแห่งหนึ่งที่มีประวัติอันยาวนาน โดยบริเวณที่ตั้งของอำเภอนาดูนคือ เมืองจัมปาศรีที่เจริญรุ่งเรือนในสมัยทวารวดี  เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 13-15 ซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ค้นพบมากมาย สรุปความดังนี้
     ถิ่นฐานอารยธรรมจัมปาศรีในอดีตกาล สันนิษฐานได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองมา 2 ยุค คือ
1.   ยุคทวารวดี  ระหว่าง  พ.ศ. 1000-1200
2.   ยุคลพบุรี  ระหว่าง  พ.ศ. 1600-1800
     ในราวพุทธศตวรรษที่ 13-16 ภายในตัวเมืองและนอกเมืองมีเจดีย์สมัยทวารวดีอยู่ 25 องค์ (ขณะนี้ได้ขุดค้นพบแล้ว 10 องค์) เจ้าผู้ครองเมืองนครจำปาศรี นับตั้งแต่ พระเจ้ายศวรราช ได้สร้างสถานที่สักการะบูชาในพิธีทางศาสนาพราหมณ์และพุทธ เช่น เทวาลัย ปรางค์กู่ เป็นต้น  ซึ่งถือว่าได้เจริญรุ่งเรืองทั้งในด้านศาสนา  วัฒนธรรม และการปกครอง จนถึงขีดสุดแล้วได้เสื่อมถอยลงจนถึงยุคอวสานในสมัยพระเจ้าฟ้างุ่มแหล่งหล้า ธรณี
ค้นพบและการก่อสร้างพระธาตุนาดูน
     เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2522 ได้ขุดค้นพบสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สถูปทำด้วยทองสำริด แยกเป็น 2 ส่วน คือ1.   ตัวสถูปหรือองค์ระฆัง แบ่งออกเป็น 2 ตอน คือ ตัวสถูป เป็นส่วนที่บรรจุ พระอังคาร (ขี้เถ้า) เทียนดอกไม้ ตอนคอสถูปเป็นส่วนที่บรรจุผอบพระบรมสารีริกธาตุโดยผอบจะบรรจุพร้อมกัน 3 ชั้น คือ ผอบทองคำ จะซ้อนอยู่ในผอบเงิน ผอบเงินจะซ้อนอยู่ในผอบทองสำริด ทุกผอบมีฝาปิดมิดชิด ภายในผอบทองคำมีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ 1 องค์ มีลักษณะเป็นเกล็ดสีขาวขุ่นขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักครึ่ง หล่อเลี้ยงไว้ด้วยน้ำมันจันทน์เมื่อเปิดออกมาจะมีกลิ่นหอมมาก
2.   ส่วนยอดทำด้วยทองสำริดกลมตัน ทำเป็นปล้องไฉนลูกแก้วและปลียอด ตอนต้นทำเป็นเกลียวสามารถปิดประกอบกับส่วนตัวองค์สถูปได้พอดี
     พระธาตุนาดูน จำลองแบบสถูปทองสำริดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งเป็นศิลปะทวารวดี ก่อสร้างเสร็จเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2530   โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์มาประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุนาดูน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530








 วนอุทยานโกสัมพี (KOSUMPEE FOREST PARK) ตั้งอยู่ในเขตท้องที่เขตเทศบาลเมืองโกสุมพิสัย อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม บริเวณ เขตวนอุทยานโกสัมพี มีเนื้อที่ ประมาณ 125 ไร่ ประกอบด้วยพื้นที่ดำเนินการ 2 ส่วน พื้นที่ส่วนที่ 1 ใช้สร้างอาคารสำนักงาน บ้านพักรับรอง บ้านพักเจ้าหน้าที่และอื่น ๆ พื้นที่ส่วนที่ 2 ใช้เป็นพื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าใช้สำหรับศึกษาธรรมชาติ และพักผ่อนอันประกอบไปด้วยป่าไม้ ลำน้ำชี แก่งตาด ลานข่อย และฝูงลิงแสม
ประวัติวนอุทยานโกสัมพี          เดิมพื้นที่วนอุทยานโกสัมพี เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ (ดอนมเหศักดิ์) ตั้งอยู่บ้านคุ้มกลาง ตำบลหัวขวาง ในเขตเทศบาล ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม อยู่ติดแม่น้ำชี และมีองค์หลวงพ่อมิ่งเมือง ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่บ้าน คู่เมืองของชาวอำเภอโกสุมพิสัยกราบไหว้บูชา นอกจากนี้ยังมีดอนปู่ตา พื้นที่มีสภาพเป็นป่าไม้เบญจพรรณ ต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นขึ้นเป็นจำนวนมากและมีฝูงลิงแสมอาศัยอยู่เป็นจำนวน กว่า 500 ตัว ป่าหนองบุ่งแห่งนี้ เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ มีศาลเจ้าปู่ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวอำเภอโกสุมพิสัยแม้แต่ลิงแสมที่อาศัยอยู่เขตวน อุทยานโกสัมพีก็เชื่อกันว่า เป็นลิงของเจ้าปู่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง
          แต่เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบโดยตรงทางจังหวัด มหาสารคามจึง ได้เสนอขอให้กรมป่าไม้มาดำเนินการจัดการ พื้นที่สาธารณประโยชน์แห่งนี้ให้เป็นวนอุทยานเพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อน หย่อนใจของประชาชนโดยทั่วไปและกรมป่าไม้โดยส่วนอุทยานแห่งชาติ จึงได้เข้ามาดำเนินการแต่งตั้งเป็นวนอุทยาน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันโดยมีชื่อว่า "วนอุทยานโกสัมพี"

ลักษณะโดยทั่วไป
          แต่เดิมป่าแห่งนี่ จัดเป็นวัฒนธรรม หรือป่าที่คนอีสานเรียกว่า "ป่าดอนปู่ตา" ระบบนิเวศของป่าแห่งนี้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ คือ บริเวณป่าที่มีน้ำท่วมไม่นาน ที่คนอิสานเรียกว่า "ป่าบุ่งป่าทาม" ประกอบด้วยทรัพยากรป่าไม้และสภาพนิเวศวิทยาค่อนข้าง สมบูรณ์ อยู่ติดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำชี มีลิงแสมอาศัยกว่า 500 ตัว และนับว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และยังมีหนองน้ำธรรมชาติอยู่ตรงกลางซึ่งชาวบ้านเรียกว่าหนองบุ่งมีเนื้อที่ ประมาณ 3 ไร่ มีน้ำขังตลอดปี ลึกประมาณ 1-5 เมตร มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้น อยู่เป็นจำนวนมากเช่น ไม้ยาง ไม้กระเบา ตะโก ข่อย มะเดือ ไม้ไผ่ สำหรับไม้กระเบา ไม้หว้า เป็นทั้งอาหารและยาของลิงแสม
จุดที่น่าสนใจของวนอุทยาน
    แก่งตาด อยู่ในลำชีด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกของวนอุทยานโกสัมพี มีหินดาน เป็นบริเวณกว้างในช่วงฤดูแล้ง ธันวาคม-พฤษภาคม น้ำจะตื้นเขิน มองเห็นดินดาน มีน้ำไหลรินกระทบหินดานสาดกระเซ็นเป็นฟองและคลื่นขาวสะอาด สวยงาม และแปลกตา และบริเวณติดต่อกับริมฝั่งลำน้ำชี ก็มีทัศนียภาพสวยงาม ร่มรื่น เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวพักผ่อน หย่อนใจ จับปลา กินข้าวป่า เป็นอย่างยิ่ง       
     ลานข่อย วนอุทยานโกสัมพีได้พัฒนาตกแต่งดัดแปลง ต้นข่อยที่มีอยู่เดิมตาม ธรรมชาติได้เป็นแคระตกแต่งเป็นรูปต่าง ๆ มีให้ชมกว่า 200 ต้น ลิงแสม เป็นสัตว์ป่าประจำถิ่นของป่าแห่งนี้ โดยลิงแสมในวนอุทยานโกสัมพีจะมีลักษณะ 2 สี คือลิงแสมสีเทาและลิงแสมสีทอง และลิงแสมสีทองจะมีเฉพาะในวนอุทยานแห่งเดียว ซึ่งหาดูได้ยากในประเทศไทย คือ "วนอุทยานโกสัมพี"
     บุ่ง อยู่ข้างริมฝั่งชีใกล้กับแก่งตาด มีต้นไม้ใหญ่ๆ และเถาวัลย์นาๆ ชนิด มีหนองน้ำตลอดปี และเป็นที่อยู่ของฝูงลิง เป็นสถานที่ร่มเย็นฤดูแล้งหน้าร้อนเข้าพักผ่อนหย่อนใจได้ดี หากได้รับการตกแต่งประดิษฐ์แล้วจะเป็นสวนสัตว์และทิวทัศน์อวดแขกบ้านชาว เมืองได้แห่งหนึ่ง และในขณะนี้แขกต่างเมืองก็เข้าไปเดินเล่นและชมหมู่ลิงอยู่เสมอ
     พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า มีพรรณไม้หลายชนิดส่วนใหญ่ที่สำคัญได้แก่ กะเบา ยาง ชมภู่ป่า หว้า ทองกวาว กระโดดสำหรับไม้พื้นล่างส่วนใหญ่ ได้แก่ เถาวัลย์เปรียง หวาย ตดตะกั่ว มะดัน นมแมว คัดเค้า และไม้ไผ่ นอกจากนั้นยังมีต้นจามจุรี หรือก้ามปู ซึ่งชาวบ้านนำไปปลูกไว้ นอกจากจะมีพรรณไม้ดังกล่าวมาแล้ว ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้มีค่านานาชนิด อาทิเช่น มะค่าโมง ตะเคียนทอง ตะแบกใหญ่ เป็นต้น สัตว์ป่าที่ยังมีเหลืออยู่ในปัจจุบันที่สำคัญได้แก่ ลิง ซึ่งมีอยู่ 2 ฝูง จำนวนประมาณ 500 ตัว และยังมีนกกางเขนบ้าน นกกิ้งโค้ง นกสาริกา นกเอี้ยงหงอน นกปรอดสวน นกปรอดหัวโขน นกอีเสือหัวดำ และพวกนกกระจิบธรรมดา
สถานที่ติดต่อ
          วนอุทยานโกสัมพี บ้านคุ้มกลาง ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม 44140 หรือ ส่วนอุทยานแห่งชาติ สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้ ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร. 5795743 , 5797223
การเดินทาง
          วนอุทยานโกสัมพี ตั้งอยู่บริเวณเขตเทศบาล ตำบลหัวขวาง อำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ปัจจุบันการคมนาคม เข้าถึงเขตวนอุทยานโกสัมพี ค่อนข้างจะสะดวกสบาย จึงเหมาะสำหรับการเดินทางมาพักผ่อนหย่อนใจ ในระยะสั้นเช้ามาเย็น กลับ หรือจะค้างแรม โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่อากาศเย็นสบาย สำหรับ การเดินทางมาวนอุทยานโกสัมพี คือ จากตัวเมืองจังหวัดมหาสารคามเดินทางตามแนวทางหลวงหมายเลข 208 ไปอำเภอโกสุมพิสัย ให้เดินทางตรงลงมาอีก 600 เมตร ตามเส้น ทาง ร.พ.ช.สาย 508 (บ้านคุ้มกลาง-โพนงาม) ให้เลี้ยวขวาก็จะถึงที่ทำการ "วนอุทยานโกสัมพี" รวมระยะทาง 30 กิโลเมตร





ข้อมูลหาดวังโก :
ที่ตั้ง : อำเภอ โกสุมพิสัย จังหวัด มหาสารคาม

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่ท่องเที่ยว : ตลอดทั้งปี

ลักษณะของสถานที่ : หาดวังโก เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจแห่งหนึ่งในอำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ที่เพิ่งพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ตั้งอยู่ที่อำเภอท่าเดื่อ ต.หนองบอน อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม เปิดบริการ 08.00 น. – 18.00 น. ทุกวัน เป็นทะเลน้ำจืดที่มีเครื่องเล่นต่าง ๆ มากมาย เช่น บานาน่าโบ้ท โดนัสสกี ยังมีเปลและร่มไว้สำหรับนอนพักตากอากาศ อาบแดด มีร้านอาหารต่าง ๆ หลายร้านด้วยกัน
ข้อมูลอื่นๆ : สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
ที่อยู่ : อ.โกสุมพิสัย
การเดินทางโดยรถยนต์ :  ไปตามเส้นทางมหาสารคาม-โกสุมพิสัยขอนแก่น หาดวังโก จะอยู่ขวามือถ้าเรามุ่งหน้าไปขอนแก่นออกจากโกสุมมาได้ไม่ไกลนัก

ภาพภูมิทัศน์ของหาดวังโก : ภูมิทัศน์ บริเวณถนนรอบๆ หาดวังโก ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่ง ของ จังหวัดมหาสารคาม
 

พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2542 โดยมีความมุ่งหมายเพื่อสื่อสารถึงอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่มีจุดเริ่มต้นและพัฒนาการอย่างมีความหมายและความสำคัญควบคู่มากับ พัฒนาการ ของสังคม ตั้งแต่ยุคที่เป็นวิทยาลัยวิชาการศึกษามหาสารคาม (พ.ศ.2511) จนถึงมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒมหาสารคาม (พ.ศ.2517) และเป็นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (พ.ศ.2537) รวมทั้งเป็นศูนย์กลางแห่งการพัฒนาองค์ความรู้ด้านพิพิธภัณฑ์เพื่อส่งเสริม ให้สังคมได้รับผลประโยชน์จากกิจการพิพิธภัณฑ์ ทั้งในด้านการปลูกจิตสำนึกแห่งคุณค่าและความสำคัญของท้องถิ่น การจัดการพิพิธภัณฑ์ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคม
นอกจากนี้ โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคามยังทำหน้าที่สนับสนุนการ จัดการเรียนการสอน การวิจัย และบริการวิชาการด้านพิพิธภัณฑ์ตลอดจนเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนและจัด กิจกรรมสำหรับคณาจารย์ นิสิต และบุคคลทั่วไป

ภายในพื้นที่โครงการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัยมหาสารคามได้แบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็น 8 ส่วน ดังนี้
1. เรือนอีสานประยุกต์หลังใหญ่ ประกอบด้วย สำนักงาน ห้องประชุมใหญ่ ห้องประชุมย่อย ห้องรับรอง คลังพิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และนิทรรศการพัฒนาการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2. เรือนอีสานประยุกต์หลังเล็ก ประกอบด้วยนิทรรศการพัฒนาการมหาวิทยาลัยมหาสารคาม และพื้นที่สำหรับจัดนิทรรศการหมุนเวียน
3. เรือนโข่ง ปัจจุบันเป็นที่ตั้งชมรมนาฏศิลป์และดนตรีพื้นเมืองมหาวิทยาลัยมหาสารคาม
4. เรือเกย ปัจจุบันเป็นที่ตั้งโครงการอนุรักษ์ใบลานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
5. เล้าข้าว ตูบต่อเล้า จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในวิถีชีวิตชาวลุ่มแม่น้ำชี
6. เรือนผู้ไท จัดแสดงนิทรรศการภูมิปัชาวลุ่มแม่น้ำชี
7. ลานกิจกรรม เป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมกลางแจ้ง
8. สถานีศึกษาสัตว์

;
แหล่งข้อมูล: thai.tourismthailand.org






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น